 
                                     
                                    การใช้โซ่ ขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ช่วยให้รถตอบสนองไวขึ้นจริง แต่ก็พ่วงความเสี่ยงด้านความทนทาน หากถูกนำไปใช้ นอกเงื่อนไขการออกแบบ โดยเฉพาะกับรถที่ หนักกว่าสเป็ก ที่โซ่รองรับ อาการที่พบได้บ่อยคือ โซ่ยืดเร็ว ไปจนถึง โซ่ขาด ระหว่างใช้งาน จนหลายคนตั้งคำถามว่า “โซ่ไม่ทน?” ทั้งที่ความจริงอาจเป็น การใช้งานผิดบริบท มากกว่า
ตัวอย่างจากสนามแข่ง: น้ำหนักต่างเล็กน้อย แต่ภาระต่างมหาศาล
- 
Moto3: น้ำหนักรวมรถ+นักแข่งขั้นต่ำ 152 กก. (ตามข้อกำหนด FIM) 
- 
250cc Production: น้ำหนักรวมขั้นต่ำราว 190–205 กก. หรือมากกว่า 
 ส่วนต่าง ~50 กก. แม้ดูไม่มาก แต่ในสนาม นั่นคือ แรงเฉื่อย และ โหลดเพิ่ม ที่โซ่ต้องรับ ทุกครั้ง ที่เบรกและเร่งออกโค้ง
ภาระที่เกิดขึ้นกับโซ่…หนักกว่าเดิมในทุกเฟส
- ก่อนเข้าโค้ง (เบรก/เชนเกียร์): รถที่หนักกว่าโมเมนตัมมากกว่า
กำลังหน่วง (Engine Braking) ถูกถ่ายกลับสู่ โซ่–สเตอร์หลัง เป็นแรงกระชาก โซ่รับภาระสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
- ออกจากโค้ง (เปิดคันเร่ง): ต้องใช้แรงบิดมากขึ้นเพื่อเอาชนะแรงเฉื่อยของรถที่หนักกว่า โซ่จึงถูก ดึงต่อเนื่อง นานขึ้น หากใช้โซ่ เบอร์เล็ก/เน้นเบา เกินไป จะ ยืดเร็ว และ เสี่ยงขาด
สรุปตัวแปรสำคัญ: “น้ำหนัก” & “แรงเสียดทาน”
โซ่ที่เบา ลดแรงหมุน/แรงเสียดทาน ให้การตอบสนองไวขึ้น จึงเป็นเหตุให้บางคนยอม แลกความทนทาน เพื่อเร่งและปลายที่ดีขึ้น แต่เมื่อ น้ำหนักรถรวมผู้ขี่เพิ่ม แรงที่โซ่ต้องรับก็พุ่ง แบบทวีคูณ
คำแนะนำใช้งานจริง (ไม่ลดทอนความปลอดภัย)
- 
เลือก เบอร์โซ่ ให้สัมพันธ์กับ ขนาดเครื่องยนต์–น้ำหนักรถ–น้ำหนักผู้ขี่ 
- 
หากจำเป็นต้องใช้โซ่ เบอร์เล็กบนรถที่หนักกว่า สเป็ก ควร: - 
เพิ่มความถี่ ในการตรวจเช็ก/บำรุงรักษา (ความตึง, การหล่อลื่น, สภาพโอริง/ซีล) 
- 
เฝ้าระวังสัญญาณโซ่ยืด–เสียงผิดปกติ–ฟันสเตอร์สึก 
- 
ตั้งโซ่ตามค่าผู้ผลิตรถ/ชุดโซ่สเตอร์อย่าง เคร่งครัด 
 
- 
- 
เข้าใจว่าเมื่อ ภาระใช้งานเกินขอบเขตการออกแบบ โซ่จะ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ต่อให้อยู่ในสภาพใหม่ 
สรุป: โซ่เล็กและเบา เร็วจริง แต่ต้องใช้ ให้ถูกบริบท เลือกเบอร์ให้เหมาะ และดูแลให้ถี่ขึ้น จึงจะได้ สมดุลระหว่างสมรรถนะและความปลอดภัย สูงสุด